เกมนี้ “หมาป่ากรุงโรม” เดินทางมาแบบเงียบๆ แต่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ ทั้งที่ขาดสองแนวรุกตัวหลักอย่าง เอแวน เฟอร์กูสัน และ เปาโล ดีบาล่า ทว่าแนวรุกยังคมพอจะจัดการเจ้าถิ่นได้อยู่หมัด ขณะที่ เรนเจอร์ส ยังคงจมบ๊วยของกลุ่ม พร้อมสร้างสถิติสุดขมขื่น แพ้เกมยุโรป 7 นัดติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นสถิติแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

เริ่มเกมได้เพียง 13 นาที โรม่า ขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากจังหวะเตะมุมที่ ไบรอัน คริสตันเต โหม่งเช็ดที่เสาแรก และเป็น มาติอัส โซเล่ ตามมาซ้ำจ่อๆ เข้าประตู ให้ทีมเยือนออกนำ 1-0 จากนั้น เรนเจอร์ส เกือบตีเสมอได้ทันที แต่ ยูซุฟ เชอร์มิตี ยิงหลุดกรอบอย่างเหลือเชื่อ

หลังจากนั้น ทีมเยือนครองบอลเหนือกว่าอย่างชัดเจน ก่อนจะมาบวกเพิ่มอีกหนึ่งประตูในนาทีที่ 36 จากจังหวะที่ อาร์เต็ม โดฟบิก ไหลให้ ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่ ปั่นด้วยขวาโค้งเสียบเสาอย่างสวยงาม หนีห่างเป็น 2-0 ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบในสนามไอบร็อกซ์ที่เคยคึกคัก

ครึ่งหลัง เรนเจอร์ส พยายามเปิดเกมสู้และมีช่วงเวลาที่ดูดีขึ้น แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบพอ โดย เชอร์มิตี และตัวสำรอง ธีโล แอสการ์ด ต่างพลาดโอกาสทอง ขณะที่ โรม่า เกือบได้ลูกสามจาก เซกี เซลิก ที่ยิงชนคานจากระยะไม่ถึงหนึ่งหลา

ช่วงท้ายเกม ทั้งสองทีมเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่ง ทำให้เกมเริ่มช้าลงและจบลงแบบไม่มีอะไรเพิ่ม โรม่า เก็บสามแต้มได้ตามเป้า ส่วน เรนเจอร์ส ยังคงต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์และแรงกดดันจากแฟนบอลที่เริ่มไม่พอใจผู้บริหารและผลงานทีมอย่างหนัก

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ โรม่า กลับมามั่นใจในการลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์อีกครั้ง ขณะที่ เรนเจอร์ส ต้องเร่งปรับฟอร์ม หากไม่อยากหลุดจากเวทียุโรปตั้งแต่รอบแรกของฤดูกาลนี้